“เอเบิ้ล แอสเสทฯ” มูฟออนขยายลงทุน รุกโครงการแนวราบ-จ่อคอนโดฯ เมือง-ออฟฟิศ

ข่าวล่าสุด

“เอเบิ้ล แอสเสทฯ” เข้าสู่รอบเพิ่มโอกาสขยายการลงทุน สร้างแบรนด์โครงการอสังหาฯ กระจายสู่ทุกกลุ่มลูกค้า ชูกลยุทธ์รุกตลาดแนวราบเป็นหลัก วางเป้าเปิดปีละ 2-3 โครงการ เผยปี 66 มูลค่าขึ้นโครงการใหม่มากกว่า 1,000 ล้านบาท เพิ่มยอดการขายและรายได้จาก 3 โครงการในปี 65 เผยมีที่ดินพร้อมพัฒนาคอนโดฯ โลว์ไรส์ในเมือง ทำตลาดระดับราคา 1.8-2 แสนบาทต่อ ตร.ม. เจรจาซื้อแลนด์แบงก์พัฒนาออฟฟิศให้เช่า รองรับแผนสร้างความมั่นคงเสริมรายได้ประจำ กระแสเงินสดปีละ 22 ล้านบาท แย้มภายในปี 68 เข้าระดมทุนตลาด mai

นายกษิดิศ มโนภินิเวศ กรรมการจัดการ บริษัท เอเบิ้ล แอสเสท กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนระหว่างกลุ่มวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจก่อสร้างมานานกว่า 20 ปี ฉายภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 ว่า ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวก เริ่มจากเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในทิศทางฟื้นตัว และกลับไปอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ในปี 2566 จากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มจะพื้นตัว หลังจากที่โควิด-19 กำลังจะผ่านพ้นไป มาตรการของรัฐที่คงผ่อนปรน และความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าเยือนประเทศไทย

อย่างไรก็ดี มุมมองต่อตลาดในปี 2566 นั้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงต้องเผชิญปัจจัยลบ โดยเฉพาะในเรื่องของหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จึงเป็นความท้าทาย แต่เราเชื่อว่าการที่เรามีความพร้อม และมีพันธมิตรที่เข้มแข็ง เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ โดยอย่างแรก การวิเคราะห์และเลือกทำเลที่เหมาะสม ช่วยให้ทางบริษัทได้ทำเลที่ดีเหมาะกับการซื้อที่ดิน การออกแบบ (ดีไซน์) ที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า เนื่องจากในอนาคตบ้านจะเล็กลง เนื่องจากบ้านมีราคาแพงขึ้น ที่ดินพัฒนามีจำกัดและราคาค่อนข้างสูง และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นมีผลต่อการซื้อที่อยู่อาศัย

ทีมผู้บริหารและที่ปรึกษาบริษัทฯ
ทีมผู้บริหารและที่ปรึกษาบริษัทฯ

ประการที่สอง การนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ เช่น พลังงานสะอาด โซลาร์เซล์ เลือกวัสดุทดแทนที่มีความแข็งแรงใช้งานได้ดี สวยงาม คงทน ง่ายต่อการบำรุงรักษา เพื่อความคุ้มค่าและประหยัดสำหรับผู้อยู่อาศัย อยู่อาศัยแล้วมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เพิ่มบริการหลังการขาย และที่สำคัญ และประการสุดท้าย การมีพันธมิตรจากซัปพลายเออร์ที่ร่วมกันทำอย่างจริงจัง ส่งโครงการที่อยู่อาศัยถึงผู้ซื้อ

สำหรับนโยบายการลงทุนและพัฒนาโครงการของบริษัทฯ ในระยะ 3 ปีจากนี้ (ปี 2566-2568) ให้น้ำหนักจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบเป็นสำคัญ แต่ละปีจะพัฒนาโครงการใหม่ๆ ปีละ 2-3 โครงการ โดยในปี 2564-2565 ได้พัฒนาและเปิด 3 โครงการแนวราบ รวมมูลค่า 1,321 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ แอสโทเรีย รังสิต-คลองสาม วางเป้าปิดการขายปี2566 โครงการแอสโทเรีย ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ ปิดการขายปี 2567 และโครงการอาร์ทีค รามคำแหง ปิดการขายในปีหน้า ซึ่งทั้ง 3 โครงการ ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 340 ล้านบาท

โดยในช่วงปลายปี 2565 ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกของปี 2566 เอเบิ้ล แอสเสท ได้มีแผนพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มอีก 2 โครงการบนทำเลศักยภาพ มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท ได้แก่ ลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี รูปแบบบ้านเดี่ยว จำนวน 63 ยูนิต ราคา 5-8 ล้านบาท และบนถนนชัยพฤกษ์ จังหวัดนนทบุรี จำนวน 72 ยูนิต ราคา 6-8 ล้านบาท

แอสโทเรีย ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ (gate)
แอสโทเรีย ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ (gate)

“โครงการที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไปมุ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมากกว่าที่จะไปกระจายสู่ตลาดต่างจังหวัด เพื่อรองรับการขยายตัวด้านที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับการขยายโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลและการขยายตัวของเมือง โซนหลักได้ แก่ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ โดยจะเลือกพัฒนาโครงการขนาดกลาง แต่ละโครงการมีขนาดประมาณ 20 ไร่ มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ใช้งบซื้อที่ดินแปลงละ 200 ล้านบาท เพื่อกระจายโครงการไปได้หลายทำเล เป็นการสร้างแบรนด์ให้ลูกค้าได้เกิดการรับรู้มากขึ้น โดยวางเป้าปิดการขายแต่ละโครงการภายใน 3 ปีหลังเปิดขาย ด้านจุดเด่นของโครงการอสังหาฯ ที่บริษัทพัฒนาคือความคุ้มค่าและการออกแบบทุกฟังก์ชันให้อยู่อาศัยได้จริงผ่านแนวคิด REAL LIVABLE”

สำหรับ บริษัท เอเปิ้ล แอสเสท กรุ๊ป จำกัด ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2554 ทุนจดทะเบียนชำระเต็ม 300 ล้านบาท พัฒนาโครงการไปแล้วหลายโครงการ ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบ เช่น โครงการเซนทริโอ้ ภูเก็ต โครงการมาร์คเอเบิ้ล ศูนย์วิจัย 2 โครงการลิสส์ รัชโยธิน มูลค่ารวมกว่า 2,311 ล้านบาท

จากแผนการลงทุนและพร้อมเปิดโครงการอย่างเหมาะสม จะส่งเสริมให้ในแต่ละปี เอเบิ้ลฯ มีรายได้ที่เติบโต โดยในปี 66 อยู่ที่ 550 ล้านบาท ปี 67 สูงขึ้นมาอยู่ที่ 800 ล้านบาท และสิ้นปี 68 จะมีรายได้ 1,100-1,200 ล้านบาท มีตัวเลขสินทรัพย์ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท

โครงการอาร์ทีค รามคำแหง
โครงการอาร์ทีค รามคำแหง

ในเรื่องแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมนั้น นายกษิดิศ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทยังมีสต๊อกเหลือขายเพียง 100 ล้านบาท และคาดว่าจะปิดการขายได้ทั้งหมดในปี 2566 ส่วนการจะเริ่มพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่นั้น ขณะนี้บริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาอยู่ 2 แปลง ในทำเลใจกลางเมือง อยู่ระหว่างการตัดสินใจ เนื่องจากกำลังซื้อทั้งจากชาวต่างชาติและชาวไทยที่หายไปจากภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งรูปแบบการพัฒนาจะเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ มูลค่าการพัฒนาประมาณ 1,600 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าระดับ B+ ถึง A- ระดับราคา 180,000-190,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ทั้งนี้ ในแผนงานนั้น ภายในปี 2567 รายได้จากแนวราบมีสัดส่วน 80% และคอนโดมิเนียมอยู่ราว 20% ขึ้นอยู่กับขนาดการพัฒนาโครงการคอนโดฯ

โครงการแอสโทเรีย รังสิต คลอง 3
โครงการแอสโทเรีย รังสิต คลอง 3

นอกจากนี้ เอเบิ้ลฯ อยู่ระหว่างเจรจาจัดหาที่ดินพัฒนา โครงการอาคารสำนักงานให้เช่า ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ในการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำให้มากขึ้น คาดว่าจะเป็นออฟฟิศขนาดพื้นที่ 10,000 ตร.ม. โดยจะเพิ่มทางเลือกให้ผู้ที่ต้องการเช่าอาคารสำนักงานระดับ A- ราคาค่าเช่าประมาณ 500 บาทต่อ ตร.ม. ขณะที่ยังคงอยู่ในทำเล CBD ย่านพหลโยธิน คาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทเพิ่มปีละ 22 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีแผนนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในปี 2568